ฟีเจอร์ใหม่ ให้ทิปคนขับหลังจบงาน

ให้ทิปทันที หลังงานเสร็จ

  1. เมื่องานเสร็จสิ้น และกดให้คะแนนคนขับ (ให้ทิปได้เฉพาะคนขับ 4-5 ดาว)
  2. เลือก/ระบุจำนวนทิปสูงสุด 1,000 บาท
  3. นำ QR code ไปสแกนโอนผ่านธนาคาร
  4. แนบสลิป เพื่อเป็นหลักฐานการโอนโดยสามารถแก้ไขแนบสลิปใหม่ได้ หรือสามารถให้ทิปคนขับได้อีกครั้ง โดยคลิกที่ปุ่ม ให้ทิป

ให้ทิป ย้อนหลัง

  1. คลิกเข้าไปที่หน้า งานที่สั่ง และเลือกงานที่ต้องการ
  2. กด “ให้ทิป”
  3. ให้คะแนนคนขับ (ให้ทิปได้เฉพาะคนขับ 4-5 ดาว)
  4. เลือก/ระบุจำนวนทิปสูงสุด 1,000 บาท
  5. นำ QR code ไปสแกนโอนผ่านธนาคาร
  6. แนบสลิป เพื่อเป็นหลักฐานการโอนโดยสามารถแก้ไขแนบสลิปใหม่ได้ หรือสามารถให้ทิปคนขับได้อีกครั้ง โดยคลิกที่ปุ่ม ให้ทิป

บริษัทขนส่งสินค้า ส่งพัสดุ ส่งของแบบมืออาชีพ

ส่งพัสดุ ส่งสินค้า

SKOOTAR บริษัทขนส่งสินค้า ส่งพัสดุ แบบมืออาชีพ ในกทม. และปริมณฑล

สำหรับธุรกิจที่มีความต้องการขนส่งสินค้าและส่งพัสดุอย่างสม่ำเสมอ การเลือกใช้บริการจากบริษัทขนส่งสินค้าที่มีคุณภาพและตรงตามความต้องการของธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สร้างความประทับใจให้กับลูกค้า

บริษัทขนส่งสินค้า ส่งพัสดุ

ส่งสินค้า ส่งพัสดุ ส่งด่วนอย่างมืออาชีพด้วยบริษัทขนส่งด่วนออนไลน์มือโปร

SKOOTAR ขนส่งด่วนออนไลน์มือโปร เป็นหนึ่งในบริษัทขนส่งสินค้าชั้นนำในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่มอบบริการแบบครบวงจร ด้วยจุดเด่นหลายประการ ดังนี้

  1. คนขับผ่านการอบรม และตรวจสอบประวัติอาชญากรรม* สุภาพ มีมารยาท
  2. ตอบโจทย์การขนส่งในรูปแบบธุรกิจ สามารถสั่งงานซ้ำจากเส้นทางเดิมคำสั่งเดิมได้
  3. มีทีมบริการลูกค้าคอยให้บริการช่วยเหลือทุกวันไม่มีวันหยุด
  4. เปิดบัญชีธุรกิจสามารถวางบิลได้ และออกใบเสร็จรับเงินได้
  5. สามารถกำหนดสิทธิ์ในการเห็นข้อมูลของผู้ใช้งานแต่ละท่านในองค์กรได้
  6. มีประกันความเสียหาย*จากการขนส่ง
  7. มีรีพอร์ทการสั่งงาน สามารถดาวน์โหลดได้
  8. มีระบบรวมใบแจ้งหนี้หลายใบให้เหลือเพียง 1 ใบได้
  9. มีประเภทรถให้เลือกใช้งานหลากหลาย เช่น รถมอเตอร์ไซค์ รถยนต์ รถกระบะ รถกระบะตู้ทึบ
  10. สามารถวางแผนสั่งงานล่วงหน้า หรือเรียกใช้ทันทีได้
  11. เข้ารับสินค้าถึงมือ ส่งถึงปลายทางได้ใน 2 ชั่วโมง* ด้วยรถมอเตอร์ไซค์ในพื้นที่กรุงเทพ และปริมณฑล
  12. มีบริการเสริมการส่งเอกสารด่วนด้วยแมสเซ็นเจอร์มือโปร เก็บเช็ค วางบิล
  13. ราคามีมาตรฐาน สามารถเช็คราคาก่อนใช้งานได้
  14. มีประสบการณ์ขนส่งมามากกว่า 6.9 ล้านครั้ง กว่า 20,000 บริษัทที่เคยใช้งานเรา
  15. เป็นบริษัทขนส่งของคนไทยสัญชาติไทยที่เน้นการให้บริการที่มีคุณภาพ
  16. สามารถใช้งานได้สะดวกง่ายๆ ผ่านเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชัน โดยสั่งงานได้ 24 ชม.ทุกวัน ไม่มีวันหยุด
  17. มีบริการขนส่งกระจายสินค้าจากคลังสินค้า
  18. เชื่อมต่อ API เพื่อสั่งงานจากหลังบ้านได้
  19. มีระบบ GPS ติดตามสถานะการจัดส่งของคนขับ แชร์สถานะให้ผู้รับได้
  20. พัฒนาระบบ และมาตรฐานผู้ขับอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองธุรกิจ

ด้วยจุดเด่นที่โดดเด่นเหล่านี้ SKOOTAR จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจที่ต้องการบริการขนส่งสินค้าและส่งพัสดุที่มีคุณภาพ ครบวงจร ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างครบถ้วน

ข้อควรพิจารณาในการเลือกบริษัทขนส่งสินค้า

นอกจากจะพิจารณาจุดเด่นของบริการแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ควรคำนึงถึงในการเลือกบริษัทขนส่งสินค้า ได้แก่

  • ความครอบคลุมของพื้นที่การให้บริการ
  • ช่องทางการติดต่อและระบบสั่งงานที่สะดวก
  • ความน่าเชื่อถือและประสบการณ์ของบริษัท
  • ความปลอดภัยของสินค้าระหว่างการขนส่ง
  • ระยะเวลาการจัดส่งและความตรงต่อเวลา

คุณสามารถทดลองใช้งาน SKOOTAR ขนส่งด่วนออนไลน์มือโปรได้ที่ https://www.skootar.com/th/signup

บทความที่เกี่ยวข้องกับการส่งสินค้า ส่งพัสดุ

https://www.skootar.com/parcel-service/express-delivery

หมายเหตุโปรดศึกษาข้อมูลก่อนใช้งาน*

  • ปัจจุบันสกู๊ตตาร์ให้บริการขนส่งในพื้นที่กทม. และปริมณฑลเท่านั้น*
  • เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด โปรดศึกษาข้อมูลรายละเอียดก่อนใช้งาน*

แมสเซ็นเจอร์ส่งเอกสารรายเดือนสกู๊ตตาร์ ดียังไง

หากองค์กรของคุณต้องส่งเอกสารด่วนอยู่เป็นประจำ เช่น เอกสารสัญญาระหว่างคุณกับพาร์ทเนอร์ หรือการเก็บเช็ค วางบิล ระหว่างคุณและลูกค้า รวมถึงเอกสารธุรกรรมต่างๆ ที่ต้องไปทำที่ธนาคารเป็นประจำ การเรียกใช้แมสเซ็นเจอร์ส่งเอกสารแบบรายเดือนอาจเป็นทางออกที่ดีกว่าการเรียกใช้แบบรายครั้ง และนี่คือเหตุผลหลักที่ทำไมคุณควรเลือกใช้บริการแมสเซ็นเจอร์ส่งเอกสารรายเดือน สกู๊ตตาร์

เหตุผลที่ต้องส่งเอกสารกับ
แมสเซ็นเจอร์รายเดือน SKOOTAR

เหตุผลที่ต้องส่งเอกสารกับ
แมสเซ็นเจอร์รายเดือน SKOOTAR

ราคาที่คุ้มค่าในระยะยาว

สำหรับธุรกิจหรือบุคคลที่ต้องส่งเอกสารเป็นประจำ การใช้บริการแมสเซ็นเจอร์รายเดือนจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการจ้างส่งแบบรายครั้ง เพราะจ่ายค่าบริการที่ชัดเจน สามารถใช้ได้ทั้งเดือน ที่สำคัญเมื่อคุณทราบค่าใช้จ่ายที่แน่นอนไว้ล่วงหน้ายังช่วยให้คุณควบคุมและคาดการณ์งบประมาณได้ง่ายกว่า

ประหยัดเวลา เมื่อเรียกใช้งาน

แมสเซ็นเจอร์รายเดือน คือการที่คุณมีแมสเซ็นเจอร์ประจำที่คุ้นเคยกับรายละเอียดการทำงานของคุณ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายงานใหม่ทุกครั้ง เหมือนกับการเรียกใช้บริการรายครั้ง

ส่งเอกสาร

ปลอดภัย เป็นมืออาชีพ ไว้ใจได้

นอกจากความสะดวก รวดเร็วทันใจ และประหยัดเวลาของบริการแล้ว สกู๊ตตาร์มีการตรวจสอบประวัติ* และอบรมการทำงานให้กับแมสเซ็นเจอร์ของเราก่อนออกทำงานจริง เพื่อคุณภาพการบริการและความปลอดภัยที่หน้างานให้กับลูกค้า คุณจึงมั่นใจได้ว่าเอกสารสำคัญของคุณจะถูกจัดส่งอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และทันเวลา เป็นมืออาชีพ ช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

ติดตามง่าย สั่งงานสะดวก

สำหรับการใช้บริการแบบรายเดือน สามารถเรียกใช้บริการได้ทันทีผ่านแอปฯ โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลหรือชำระเงินใหม่ทุกครั้ง หรือหากมีการสั่งงานซ้ำในรายละเอียดเดิม ก็ไม่จำเป็นต้องกรอกรายละเอียดซ้ำ ช่วยให้การส่งเอกสารเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว รวมทั้งมี Real-time Tracking ที่สามารถติดตามได้ผ่าน GPS ว่าแมสเซ็นเจอร์เดินทางถึงไหนแล้ว พร้อมแชร์สถานะให้ผู้รับเอกสารที่ปลายทางได้

แมสเซ็นเจอร์รายเดือนส่งเอกสาร

สนใจสมัครใช้งาน
แมสเซ็นเจอร์รายเดือนสกู๊ตตาร์
ติดต่อได้ที่นี่

7 ข้อดี เลือกใช้แมสเซ็นเจอร์รายเดือนสกู๊ตตาร์

  1. ลดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานประจำ
  2. มีประกัน*
  3. มีแมสฯ ทดแทนให้ หากขาดงาน
  4. มีรีพอร์ตการใช้งาน สามารถดาวน์โหลดได้
  5. สามารถติดตามแมสฯ ผ่านระบบ GPS ได้เรียลไทม์
  6. มีทีม Customer service คอยช่วยเหลือทุกวัน
  7. สมัครเป็นลูกค้าธุรกิจ วางบิลได้*

แมสเซ็นเจอร์รายเดือนสกู๊ตตาร์ ส่งเอกสารประเภทไหนได้บ้าง

แมสเซ็นเจอร์รายเดือนสกู๊ตตาร์
มีทั้งหมด 2 แพ็คเกจ

แมสเซ็นเจอร์รายเดือนสกู๊ตตาร์ มีทั้งหมด 2 แพ็กเกจ

แมสเซ็นเจอร์รายเดือนส่งเอกสาร

ราคารวมค่าน้ำมัน ค่าสึกหรอ สวัสดิการ และประกันอุบัติเหตุของคนขับแล้ว* ค่าล่วงเวลาในวันทำการปกติ คิดเพิ่ม 1.5 เท่า/ชม. ทำงานวันหยุด คิดเพิ่ม 2 เท่า/ชม. ล่วงเวลาในวันหยุด คิดเพิ่ม 3 เท่า/ชม.

ราคารวมค่าน้ำมัน ค่าสึกหรอ สวัสดิการ และประกันอุบัติเหตุของคนขับแล้ว*
ค่าล่วงเวลาในวันทำการปกติ คิดเพิ่ม 1.5 เท่า/ชม. ทำงานวันหยุด คิดเพิ่ม 2 เท่า/ชม. ล่วงเวลาในวันหยุด คิดเพิ่ม 3 เท่า/ชม.

บริการแมสเซ็นเจอร์รายเดือนจึงเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับลูกค้าที่ต้องส่งเอกสารหรือพัสดุเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นในระดับบุคคลหรือองค์กร เพราะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย พร้อมอำนวยความสะดวกในการทำงานด้านเอกสารสัญญา เก็บเช็ค วางบิล หรือเอกสารอื่นๆ ทั่วไปได้เป็นอย่างดี

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
*สกู๊ตตาร์ให้บริการเฉพาะพื้นที่กทม. และปริมณฑลเท่านั้น

บริการส่งเอกสารด่วนกทม. และปริมณฑล โดยแมสเซ็นเจอร์มืออาชีพ

ส่งเอกสารด่วน ส่งเอกสารด่วนกทม. บริการส่งเอกสาร

บริการส่งเอกสารด่วนด้วย SKOOTAR แมสเซ็นเจอร์

ในโลกของธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องแข่งขันกับเวลา การส่งเอกสารด่วนถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกองค์กร SKOOTAR ผู้ให้บริการส่งเอกสารด่วนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล พร้อมตอบโจทย์ความต้องการด้วยบริการแมสเซ็นเจอร์คุณภาพ รวดเร็ว ปลอดภัย ในราคาที่คุ้มค่า เหมาะสำหรับทั้งเจ้าของธุรกิจ ผู้บริหาร และพนักงานในแผนกต่างๆ ที่ต้องการส่งเอกสารสำคัญอย่างเร่งด่วน

จุดเด่นของบริการแมสเซ็นเจอร์ส่งเอกสารโดย SKOOTAR มีดังนี้

  1. แมสเซ็นเจอร์ผ่านการคัดเลือกและอบรมเป็นอย่างดี รวมถึงตรวจสอบประวัติอาชญากรรม*
  2. ติดตามสถานะการจัดส่งแบบเรียลไทม์ผ่านระบบ GPS แชร์สถานะให้ผู้รับทราบได้
  3. ใช้งานง่ายผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ได้ทุกวัน ไม่มีวันหยุด
  4. มีประกันความเสียหาย* ช่วยให้คุณอุ่นใจมากยิ่งขึ้น
  5. มีระบบบันทึกข้อมูลการใช้งาน สามารถดาวน์โหลดรายงานได้
  6. มีบริการเสริมวางบิล เก็บเช็ค ติดต่อหน่วยงานราชการ
  7. เลือกจ้างแมสเซ็นเจอร์ได้ทั้งแบบรายครั้ง รายเดือน หรือเหมาจ่ายเป็นชั่วโมง
  8. มีสิทธิประโยชน์ ยิ่งใช้ยิ่งคุ้ม
  9. มีฟีเจอร์รวมใบแจ้งหนี้หลายใบให้เหลือเพียง1ใบ ลดภาระงานเอกสาร
  10. กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลในระบบของผู้ใช้งานแต่ละคนได้
  11. มีทีม CS พร้อมให้บริการตลอดทุกวัน ไม่มีวันหยุด

สรุปบริการแมสเซ็นเจอร์ส่งเอกสารด่วนจาก SKOOTAR

ด้วยจุดเด่นมากมาย บริการแมสเซ็นเจอร์ส่งเอกสารด่วนจาก SKOOTAR จึงเหมาะสำหรับธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการความรวดเร็ว แม่นยำ ในการส่งเอกสารสำคัญ สนใจสมัครทดลองใช้งานหรือเปิดบัญชีธุรกิจวันนี้ รับสิทธิพิเศษสำหรับทดลองใช้งานติดต่อเราเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือใช้บริการได้แล้ววันนี้

ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษเพื่อให้ฝ่ายขายติดต่อกลับได้ที่นี่

บทความที่เกี่ยวข้อง
https://www.skootar.com/messenger-service

 

เทียบกันชัดๆ ส่งสินค้าออนดีมานด์ vs ส่งแบบทั่วไป เลือกแบบไหนดีที่โดนใจลูกค้า

              ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูง การเลือกวิธีการจัดส่งสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ วันนี้เราจะมาแนะนำข้อดี-ข้อเสีย และข้อได้เปรียบที่แตกต่างกันของการส่งสินค้าแบบออนดีมานด์ (On-demand Delivery) และการส่งสินค้าแบบทั่วไป

การส่งสินค้าด่วนแบบออนดีมานด์

              บริการขนส่งสินค้าด่วน ที่มักมาพร้อมแพลตฟอร์มออนไลน์หรือแอปพลิเคชัน ที่สามารถเรียกรถขนส่งให้มาช่วยรับส่งสินค้าได้ผ่านระบบออนไลน์แบบง่ายๆ ด้วยจุดเด่นด้านความสะดวก ความยืดหยุ่น และการรับ-ส่งที่รวดเร็วทันใจ ติดตามได้ มีมาตรฐานในเรื่องของโครงสร้างราคาที่ชัดเจน เช็กราคาได้เองผ่านระบบออนไลน์ได้ง่ายๆ

              ในขณะที่การส่งสินค้าแบบทั่วไปเป็นบริการแบบดั้งเดิม ที่มีการนัดหมายวันเวลารับ-ส่งสินค้า แต่มักมีข้อดีในเรื่องของราคาที่ถูกกว่า และความครอบคลุมพื้นที่ให้บริการที่กว้างกว่า รวมถึงมีความยืดหยุ่นในการเจรจาต่อรองกันหน้างานมากกว่าการส่งสินค้าด่วนแบบออนดีมานด์ ที่ต้องยึดถือข้อมูลการตกลงผ่านข้อมูลการสั่งงานผ่านระบบเป็นหลัก เพราะแท้จริงแล้วแพลตฟอร์มแบบออนดีมานด์เดลิเวอรี มีหน้าที่หลักเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงและบริหารระบบรวมถึงบริหารการจัดส่งให้เรียบร้อยด้วยดีทั้งฝ่ายลูกค้าที่ต้องการสั่งงานขนส่ง และฝ่ายพนักงานขับรถร่วมส่งของ จึงจำเป็นต้องยึดถือข้อมูลตามระบบเป็นสำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดทั้งในด้านการสื่อสาร และระหว่างการขนส่ง

ข้อดีของบริการส่งสินค้าด่วนแบบออนดีมานด์

ได้แก่ ความรวดเร็ว ความสะดวก ความยืดหยุ่น และการติดตามสถานะแบบเรียลไทม์ เหมาะกับสินค้าเร่งด่วน แต่มีข้อเสียคือค่าบริการสูงกว่า และพื้นที่ให้บริการอาจยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ 

ส่วนข้อดีของการส่งแบบทั่วไป คือ ราคาถูกกว่า พื้นที่ครอบคลุมกว้าง และเหมาะกับสินค้าทั่วไป แต่ข้อเสียคือใช้เวลานานกว่า ไม่ค่อยสะดวก ไม่ค่อยยืดหยุ่น และติดตามสถานะสินค้าได้ยาก อาจเกิดการสูญหาย หรือเสียหายได้ง่าย

ส่งสินค้าด่วนแบบออนดีมานด์ หรือ ส่งแบบทั่วไป เลือกแบบไหนดีที่โดนใจลูกค้า

สำหรับการเลือกบริการขนส่งสินค้าให้โดนใจลูกค้ามากที่สุด ควรพิจารณาจาก 4 ปัจจัยหลักเหล่านี้

  1. ประเภทงาน และลักษณะของสินค้าที่ทำการขนส่ง
    • สินค้าเร่งด่วน เน่าเสียง่าย เช่น อาหาร และของสด ควรเลือกแบบออนดีมานด์เพื่อความรวดเร็ว และคงคุณภาพของสินค้า งานเร่งด่วนมากๆ ต้องการให้ขนส่งเสร็จถึงมือผู้รับใน 2-3 ชม.
    • สินค้าทั่วไป ไม่เน่าเสีย ส่งช้าได้ เน้นราคาประหยัด เลือกแบบทั่วไปก็สามารถส่งถึงได้เช่นกัน

  2. พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย
    • กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เน้นความสะดวก ถนัดใช้เทคโนโลยี ชอบความรวดเร็ว การขนส่งแบบออนดีมานด์จึงจะตอบโจทย์
    • กลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้รีบใช้สินค้านั้นๆ เน้นความคุ้มค่า การส่งแบบปกติทั่วไปก็เหมาะสม

  3. พื้นที่การจัดส่ง
    • ถ้าส่งในกทม. และปริมณฑล การส่งสินค้าด่วนแบบออนดีมานด์จะครอบคลุมและส่งได้ไวตามเวลาที่ต้องการเพราะไม่ต้องนำสินค้าเดินทางไปพักที่คลังสินค้าก่อนกระจายสินค้าไปตามจุดส่งต่างๆ
    • ในพื้นที่ต่างจังหวัด พื้นที่ห่างไกล ต้องเลือกผู้ให้บริการที่มีเครือข่ายกว้าง ซึ่งมักเป็นการขนส่งแบบทั่วไป จะมีราคาที่คุ้มค่ากว่า

  4. งบประมาณด้านต้นทุนการขนส่ง
    • ถ้าขายสินค้ามูลค่าสูง ลูกค้ายินดีจ่ายค่าส่งในราคาที่สูงกว่า เลือกส่งแบบออนดีมานด์จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจได้ด้วยความรวดเร็ว และมีบริการที่สุภาพ ควบคุมคุณภาพได้ง่ายขึ้น
    • แต่ถ้าสินค้าราคาไม่แพง และราคาส่งมีผลต่อราคาขาย การส่งแบบทั่วไปจะช่วยประหยัดค่าขนส่งได้ดีกว่า

การส่งสินค้าแบบออนดีมานด์จึงเหมาะสำหรับธุรกิจที่เน้นขายสินค้าเร่งด่วน สินค้ามูลค่าสูง การรีบส่งของ ส่งสินค้าระหว่างสาขา ออเดอร์โดยส่วนมากจะจัดส่งอยู่ในเมือง กรุงเทพ-ปริมณฑล และมีงบประมาณด้านการขนส่ง เช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม, ธุรกิจดอกไม้ ของขวัญ และสินค้าเทศกาล, ธุรกิจเภสัชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์, ธุรกิจแฟชั่นและความงาม เครื่องสำอางค์ อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบB2B, ธุรกิจด้านงานเอกสารสำคัญ และ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

              ส่วนการส่งแบบทั่วไป เหมาะกับธุรกิจที่มีสินค้าหลากหลาย กลุ่มลูกค้าต้องการประหยัดต้นทุนค่าขนส่งมากๆ ดังนั้น การเลือกรูปแบบการขนส่งที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก จะช่วยสร้างความประทับใจ และรักษาฐานลูกค้าไว้ได้ในระยะยาว

              และในปัจจุบัน สกู๊ตตาร์ ให้บริการส่งสินค้าด่วน ส่งเอกสาร และส่งอาหารด้วยคนขับมืออาชีพที่ผ่านการตรวจประวัติ* และอบรมแล้ว หากสนใจสามารถสมัครใช้บริการ และทดลองใช้งานได้ที่ https://www.skootar.com/th/signup  

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

จดทะเบียนบริษัทมีขั้นตอนสำคัญอย่างไรบ้าง

จดทะเบียนบริษัทมีขั้นตอนสำคัญอย่างไรบ้าง

จดทะเบียนบริษัทมีขั้นตอนสำคัญอย่างไรบ้าง
  • การจดทะเบียนบริษัทเป็นเป้าหมายสำคัญประการหนึ่งของธุรกิจ นอกจากจะเป็นแสดงตัวตนของธุรกิจอย่างเป็นทางการแล้ว การจดทะเบียนธุรกิจยังเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือในระยะยาวอีกด้วย

  • ก่อนที่จะเริ่มต้นบริษัท ผู้ประกอบการควรมีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าการจดทะเบียนบริษัทนั้นมีอยู่ด้วยกันกี่ประเภท แต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างไร และขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทนั้นมีอะไรบ้าง

จดทะเบียนบริษัทมีกี่ประเภท? อะไรบ้าง

หากต้องการเริ่มต้นจดทะเบียนบริษัท อันดับแรกต้องทำความรู้จักกับประเภทของการจดทะเบียนกันก่อน โดยการจดทะเบียนบริษัทนั้นแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้

1. การจดทะเบียนพาณิชย์ (สำหรับบุคคลธรรมดา)

การจดทะเบียนพาณิชย์ประเภทนี้เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่มีเจ้าของทำงานเพียงคนเดียว ขายสินค้าหรือบริการง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก เช่น บุคคลธรรมดาที่ค้าขายออนไลน์ ระบบร้านค้าออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ บุคคลธรรมดาที่มีอาชีพค้าขาย และมีหน้าร้านเป็นของตัวเอง เป็นต้น ข้อดีของการจดทะเบียนในลักษณะนี้ คือ ผู้ประกอบการจะไม่มีภาระในการทำบัญชีหรือยื่นส่งงบการเงิน และมีอิสระในการดำเนินธุรกิจอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอาจขาดความน่าเชื่อถือในระยะยาว เข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารได้ยาก รวมไปถึงยังทำให้เจ้าของธุรกิจต้องมีภาระหน้าที่ทางกฎหมายในการรับภาระหนี้สินของธุรกิจแบบไม่จำกัดอีกด้วย

2. การจดทะเบียนบริษัท (สำหรับนิติบุคคล)

เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีเจ้าของ ผู้ลงทุนตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป โดยการจดทะเบียนบริษัทจะทำให้มี “บริษัท” มีสถานะเป็น “นิติบุคคล” ที่มีตัวตนตามกฎหมาย แยกจากเจ้าของธุรกิจ เจ้าของบริษัทจึงเป็นอิสระจากหนี้สินของบริษัท (เจ้าของธุรกิจมีภาระการชำระค่าหุ้นให้ครบตามทุนที่จดทะเบียนบริษัทไว้เท่านั้น) อย่างไรก็ตาม บริษัทจะมีภาระหน้าที่แยกจากเจ้าของ โดยบริษัทต้องจัดทำบัญชี เสียภาษี ยื่นประกันสังคมให้พนักงาน เป็นต้น 

แม้การมีภาระหน้าที่ดังกล่าว จะทำให้ผู้ประกอบการรู้สึกยุ่งยากอยู่บ้าง แต่จะมีข้อดีคือ อัตราภาษีเงินได้ของนิติบุคคลจะไม่เกิน 20% ของรายได้หักค่าใช้จ่าย (ซึ่งน้อยกว่าอัตราภาษีของบุคคลธรรมดาที่สูงสุดที่ 35%) ซึ่งการจดทะเบียนนิติบุคคลสามารถทำได้ 3 แบบ ดังนี้

ห้างหุ้นส่วนสามัญ

การทำกิจการแบบห้างหุ้นส่วนจำกัดสามัญนั้น ใช้กับผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยหุ้นส่วนทุกคนมีสิทธิ์จัดการกับกิจการ และแบ่งปันกำไรจากกิจการได้ แต่ก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบหนี้สินของกิจการอย่างไม่จำกัด ในกรณีที่ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่ได้จดทะเบีย จะมีสภาพเป็นบุคคลธรรมดา แต่หากมีการจดทะเบียน จะมีสภาพเป็นนิติบุคคลที่เรียกว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล” โดยหุ้นส่วนทุกคนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหนี้สินของกิจการแบบ “ไม่จำกัดจำนวน” แต่อาจตกลงให้หุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนได้  

ห้างหุ้นส่วนจำกัด

ต้องมีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และต้องทำการจดทะเบียนนิติบุคคล โดยความรับผิดชอบของ     หุ้นส่วน จะแบ่งเป็นแบบ “จำกัด” และแบบ “ไม่จำกัด” ความรับผิดในหนี้สินของกิจการ ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้  

– หุ้นส่วนผู้รับผิดชอบในหนี้สินแบบ “จำกัด” จะรับผิดในหนี้สินกิจการไม่เกินจำนวนเงินลงทุนของตน หุ้นส่วนประเภทนี้จะไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจในกิจการ แต่มีสิทธิ์ที่จะสอบถามการดำเนินงานของกิจการได้

– หุ้นส่วนผู้รับผิดชอบในหนี้สินแบบ “ไม่จำกัด” จะรับผิดในหนี้สินทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากกิจการ และจะมีสิทธิ์ตัดสินใจต่างๆ ในกิจการได้อย่างเต็มที่ 

บริษัทจำกัด

มีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป และต้องจดทะเบียนนิติบุคคล โดยผู้ถือหุ้นทุกคนจะรับผิดชอบในหนี้สินกิจการแบบ “จำกัด” กล่าวคือ ผู้ถือหุ้นมีภาระเพียงแค่จะต้องชำระเงินทุนตามค่าหุ้นที่ได้จดทะเบียนไว้เท่านั้น หากชำระครบแล้ว ผู้ถือหุ้นไม่ต้องรับผิดชอบในหนี้สินที่เกิดขึ้นในกิจการอีกด้วย ทั้งนี้การจดทะเบียนเป็นบริษัทนั้นส่งผลดีทั้งต่อความน่าเชื่อถือ การสร้างระบบการบริหาร การมีระบบบัญชี และเอื้อต่อการระดมทุน รวมทั้งขอสินเชื่อจากธนาคารมากกว่าการจดทะเบียนแบบอื่น

จดทะเบียนบริษัทมีกี่ประเภท

จดทะเบียนบริษัทมีขั้นตอนอย่างไร

ในการจดทะเบียนบริษัทนั้นมีขั้นตอนในการดำเนินการที่สำคัญดังต่อไปนี้

1. ตรวจและจองชื่อบริษัท

ในการตรวจและจองชื่อบริษัทที่จะทำการจดทะเบียนนั้น กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้เปิดบริการให้สามารถเข้าไปตรวจชื่อและจองชื่อบริษัทผ่านทางเว็บไซต์ได้ โดยเราสามารถจองชื่อได้ถึง 3 ชื่อ แต่มีเงื่อนไขว่าชื่อที่จองนั้นจะต้องไม่ซ้ำหรือใกล้เคียงกับบริษัทที่เคยจดทะเบียนไปแล้ว

2. จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ

หลังจากวันที่นายทะเบียนรับรองชื่อบริษัท บริษัทต้องจัดเตรียมหนังสือบริคณห์สนธิเพื่อไปจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ภายใน 30 วัน โดยหนังสือบริคณห์สนธินั้นจะต้องประกอบด้วยข้อมูลสำคัญต่างๆ ดังต่อไปนี้  

  • ชื่อบริษัทตามที่ได้จองชื่อไว้
  • ที่ตั้งสํานักงานใหญ่/สาขา
  • วัตถุประสงค์บริษัท
  • ทุนจดทะเบียน
  • ชื่อ ที่อยู่ อายุ สัญชาติ ของพยาน 2 คน
  • ข้อบังคับ (ถ้ามี)
  • จํานวนทุน (ค่าหุ้น) ที่เรียกชําระแล้วอย่างน้อย 25% ของทุนจดทะเบียน
  • ชื่อ ที่อยู่ อายุของกรรมการ
  • รายชื่อหรือจํานวนกรรมการที่มีอํานาจลงชื่อแทนบริษัท 
  • ชื่อ เลขทะเบียนผู้สอบบัญชีรับอนุญาตพร้อมค่าตอบแทน
  • ชื่อ ที่อยู่ สัญชาติ และจํานวนหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละคน

3. ยื่นคำขอจดทะเบียนบริษัท

หลังจากจองชื่อและจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิแล้ว นายทะเบียนที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะดำเนินการตรวจสอบเอกสาร หลังจากนั้น ให้เราเตรียมไปจดทะเบียนบริษัทได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยเตรียมเอกสาร ดังนี้

  • แบบจองชื่อนิติบุคคล
  • สําเนาบัตรประจําตัวประชาชนของผู้เริ่มก่อการและกรรมการทุกคน
  • สําเนาหลักฐานการรับชําระค่าหุ้นที่บริษัทออกให้แก่ผู้ถือหุ้น
  • แผนที่แสดงที่ตั้งของสํานักงานใหญ่โดยสังเขป

หมายเหตุ: ผู้ขอจดทะเบียนจะต้องลงนามรับรองสำเนาถูกต้องในเอกสารทุกฉบับ ยกเว้นสำเนาบัตรประชาชนที่ต้องให้เจ้าของบัตรลงนามรับรองด้วยตัวเอง

จดทะเบียนบริษัทมีขั้นตอนอย่างไร

จดทะเบียนบริษัทออนไลน์ ทางเลือกใหม่ของธุรกิจในยุคดิจิทัล

หากใครไม่สะดวกเดินทางไปยื่นจดทะเบียน กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีบริการจดทะเบียนบริษัทออนไลน์ หรือเรียกว่า e-registration โดยเจ้าของกิจการสามารถเข้าไปจดทะเบียนตั้งบริษัทได้ที่เว็บไซต์ของ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งให้บริการในรูปแบบ one-stop service คือ เราสามารถยื่นจดทะเบียนที่ไหนก็ได้ เพียงแค่กรอกข้อมูลเพื่อจองชื่อบริษัทไปจนถึงยื่นจดทะเบียนและชำระค่าธรรมเนียมได้ทั้งหมดทางหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น

จดทะเบียนบริษัทแล้ว กิจการมีภาระหน้าที่ที่อะไรบ้าง

หลังจากจดทะเบียนบริษัทเรียบร้อยแล้ว บริษัทจะมีภาระหน้าที่ตามกฎหมายเกิดขึ้น ดังนี้

ภาระหน้าที่รายเดือน

  • จัดทำบัญชี โดยต้องหาผู้ทำบัญชี จัดทำบัญชีพร้อมเตรียมเอกสารประกอบการลงบัญชี ปิดงบการเงิน และจัดให้มีการตรวจสอบงบการเงินโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (ตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543)
  • ยื่นส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม หากบริษัทมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 ทุกเดือน แม้ไม่มีรายการการค้า และให้ยื่นภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป (หรือหากยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต สามารถยื่นได้ไม่เกินวันที่ 23 ของเดือนถัดไป) 
  • ยื่นส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย หากบริษัทมีการจ่ายค่าบริการ จะต้องทำการหัก ณ ที่จ่าย และนำส่งสรรพากร ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป 
  • ยื่นแบบ ภ.ง.ด.1 เงินเดือน ค่าจ้าง สำหรับพนักงานประจำ 
  • ยื่นแบบ ภ.ง.ด.3 ภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับบุคคลธรรมดาที่ไม่ใช่พนักงานประจำ
  • ยื่นแบบ ภ.ง.ด.53 ภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับนิติบุคคลไทย
  • ยื่นแบบ ภ.ง.ด.54 ภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับนิติบุคคลต่างประเทศ
  • ยื่นประกันสังคม: บริษัทที่ขึ้นทะเบียนนายจ้าง และมีพนักงานประจำ จะต้องนำส่งเงินสมทบประกันสังคม ด้วยแบบ สปส.1-10 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

ภาระหน้าที่รายปี

  • ยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล กลางปี: บริษัทต้องยื่นเสียภาษีเงินได้กลางปี โดยคำนวณจากประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี (ยกเว้นบริษัทที่เปิดกิจการปีแรก ไม่ต้องยื่นภาษีกลางปี) โดยยื่นด้วยแบบ         ภ.ง.ด.51 ภายใน 2 เดือน นับจากรอบระยะเวลาบัญชี 6 เดือน
  • ยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล สิ้นปี: บริษัทต้องเสียภาษีเงินได้สิ้นปี จากกำไรสุทธิในปีที่ผ่านมา โดยใช้แบบ ภ.ง.ด.50 ภายใน 150 วัน นับแต่วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี
  • ยื่นส่งงบการเงิน ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

สำหรับผู้ประกอบการท่านใดที่ต้องการจดทะเบียนบริษัทเพื่อเข้าสู่ระบบธุรกิจแบบนิติบุคคลอย่างเต็มตัวก็ควรมีการเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล เอกสารสำคัญต่างๆ การจัดเตรียม เรื่องบัญชีและภาษี นอกจากจะเป็นสิ่งที่ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ยังเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคตอีกด้วย

PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ มีบริการรับจดทะเบียนบริษัท จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือจดทะเบียนเลิกกิจการ เพิ่มทุนด้วยทีมงานสำนักงานบัญชีพันธมิตรที่คอยให้คำปรึกษาในทุกแง่มุมในการจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการจัดตั้งกิจการ

ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท
คลิก https://bit.ly/PEAK-Skootar (ไม่มีค่าใช้จ่าย)

PEAK Call Center : 1485
LINE : @peakaccount
สอบถามเพิ่มเติม คลิก
https://m.me/peakengine

8 ข้อควรรู้ เลือกใช้บริษัทส่งพัสดุ ส่งสินค้า เลือกแบบไหนให้ได้มืออาชีพ

ส่งพัสดุ ส่งสินค้า

ส่งพัสดุ กับบริษัทขนส่งมืออาชีพ

เมื่อต้องการส่งพัสดุให้ลูกค้า หรือระหว่างสาขาของบริษัท การเลือกใช้บริการจากบริษัทขนส่งสินค้าเพื่อส่งพัสดุด่วน ส่งสินค้า หรือส่งสินค้าด่วนที่มีคุณภาพ และตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญ ลองดู 8 ข้อควรรู้ในการเลือกใช้บริการส่งพัสดุจากผู้ให้บริการมืออาชีพกันดีกว่า

  1. พนักงานผ่านการคัดกรองและอบรม: เลือกใช้บริการส่งพัสดุด่วนจากบริษัทที่มีการตรวจสอบประวัติของพนักงานขนส่ง และจัดอบรมการทำงานอย่างมืออาชีพ เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานจะให้บริการด้วยความสุภาพ เป็นมิตร และมีมารยาทที่ดี

  2. ใช้งานง่ายผ่านหลากหลายช่องทาง: ควรเลือกผู้ให้บริการส่งพัสดุด่วนที่มีช่องทางการใช้งานที่สะดวก ทั้งผ่าน Website และ Application บนมือถือ รองรับทั้งระบบ iOS และ Android เพื่อความสะดวกในการสั่งงานขนส่งแบบเรียลไทม์หรือล่วงหน้าได้ตามต้องการ

  3. ราคามาตรฐานและโปร่งใส: การมีโครงสร้างราคาในการส่งสินค้าที่ชัดเจน สามารถเช็กราคาก่อนใช้บริการได้ จะช่วยให้คุณวางแผนต้นทุนการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  4. เหมาะสำหรับการส่งสินค้าหลายจุด: หากธุรกิจของคุณมีการกระจายสินค้าจากคลังไปยังหลายสาขา ควรเลือกผู้ให้บริการที่รองรับการจัดส่งแบบหลายจุดหมายในคำสั่งเดียว พร้อมฟีเจอร์จัดเรียงเส้นทางอัตโนมัติเพื่อการขนส่งที่รวดเร็ว และคุ้มค่า

  5. มีรถขนส่งให้เลือกหลายประเภท: ผู้ให้บริการส่งสินค้าที่ดีควรมีรถขนส่งหลากหลายประเภทให้เลือกตามความเหมาะสมของสินค้า ไม่ว่าจะเป็น มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ รถกระบะ หรือรถกระบะตู้ทึบ เพื่อให้สามารถส่งสินค้าได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า

  6. หลากหลายช่องทางชำระเงิน: ผู้ให้บริการส่งสินค้าด่วนที่ดีควรมีระบบการชำระเงินที่หลากหลาย ทั้งเงินสด บัตรเครดิต พร้อมเพย์ รวมถึงรองรับการวางบิลสำหรับบัญชีธุรกิจ นอกจากนี้ ควรสามารถออกใบเสร็จให้ได้* เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ

  7. ฟีเจอร์เสริมเพื่อธุรกิจโดยเฉพาะ: เลือกใช้บริการส่งสินค้าด่วนจากผู้ให้บริการที่มีฟีเจอร์ต่างๆ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในรูปแบบธุรกิจโดยเฉพาะ เช่น การรวมใบแจ้งหนี้ การกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งาน (Multi account user) เพื่อการบริหารจัดการที่คล่องตัวยิ่งขึ้น และมีบันทึกข้อมูลการจัดส่งที่สามารถดาวน์โหลดได้

  1. ติดตามพัสดุได้แบบเรียลไทม์: บริษัทขนส่งสินค้าที่ดีควรมีระบบติดตามพัสดุผ่าน GPS แบบเรียลไทม์ และสามารถแชร์สถานะการจัดส่งให้ผู้รับทราบได้ทันที จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในการให้บริการของคุณ นอกจากนี้ การมีประกันความเสียหาย* ก็ช่วยสร้างความอุ่นใจให้แก่ทั้งผู้ส่งและผู้รับสินค้า

  2. บริการช่วยเหลือทุกวัน ไม่มีวันหยุด: หากเกิดปัญหาหรือข้อสงสัยใดๆ ในการใช้บริการจากบริษัทขนส่งสินค้า การมีทีม Customer service ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือทุกวันตลอดปีโดยไม่มีวันหยุด จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าธุรกิจของคุณจะสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่องไม่สะดุด

ปัจจัยทั้ง 9 ข้อนี้ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ ในการเลือกใช้บริการส่งพัสดุ ส่งสินค้าจากบริษัทขนส่งสินค้าเพื่อการบริการที่เป็นมืออาชีพ ตอบโจทย์ความต้องการ และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าของคุณ

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และสมัครทดลองใช้งานได้ที่นี่ มีส่วนลดลูกค้าใหม่
https://www.skootar.com/parcel-service 

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
**
ภาพในบทความนี้เป็นภาพเพื่อการประกอบโฆษณาเท่านั้น

5 เหตุผลที่สกู๊ตตาร์ต้องตรวจประวัติ* และอบรมแมสเซ็นเจอร์รายเดือน รายวัน และรายครั้ง

เมื่อบริการส่งเอกสารด่วนด้วยแมสเซ็นเจอร์มีความสำคัญมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

สกู๊ตตาร์จึงต้องเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าที่ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นแมสเซ็นเจอร์รายเดือน แมสเซ็นเจอร์รายวัน หรือแมสเซ็นเจอร์รายครั้ง ล้วนแต่ต้องผ่านการตรวจประวัติ* และเข้าอบรม เพราะเราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของลูกค้า และความเป็นมืออาชีพของคนขับเป็นอย่างมาก

 

5 เหตุผลที่สกู๊ตตาร์ต้องตรวจประวัติ* และอบรมแมสเซ็นเจอร์

1. เพื่อสร้างความมั่นใจ และความปลอดภัยให้กับลูกค้า

การตรวจสอบประวัติ* ช่วยคัดกรองว่าแมสเซ็นเจอร์รายเดือน รายวัน และรายครั้งของสกู๊ตตาร์เป็นบุคคลที่ไว้ใจได้ ลูกค้าจึงวางใจได้ว่าเอกสารสำคัญ หรือพัสดุจะปลอดภัยระหว่างการรับ-ส่ง

2. อบรมก่อนเปิดระบบ เพื่อคุณภาพการบริการที่ดีกว่า

แมสเซ็นเจอร์ที่ผ่านการอบรมจะมีความเป็นมืออาชีพ ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบ และรู้ขั้นตอนการดำเนินการของงานเอกสารประเภทต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ช่วยลดความกังวลว่าจะไปติดต่อหน่วยราชการถูกจุดไหม หรืองานเอกสารทางเรือจะทำถูกต้องตามขั้นตอนหรือเปล่า แมสเซ็นเจอร์ที่ผ่านการอบรมจะให้บริการคุณได้อย่างถูกต้องอย่างมือโปร

3. เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาสังคม ในฐานะผู้ให้บริการขนส่ง

สกู๊ตตาร์มีความรับผิดชอบที่จะต้องดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม การตรวจประวัติ* แมสเซ็นเจอร์ของเราถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีสวมรอยเป็นแมสเซ็นเจอร์เพื่อก่อเหตุร้ายได้

4. เพื่อเพิ่มความสามารถ และสร้างมาตรฐานให้กับอาชีพแมสเซ็นเจอร์

การตรวจประวัติ* และอบรมแมสเซ็นเจอร์ ถือเป็นการสร้างมาตรฐานการให้บริการให้กับผู้ที่ทำอาชีพนี้ และหากแมสเซ็นเจอร์บริการได้ดี ก็จะสามารถเพิ่มฐานลูกค้าให้กับตัวเเมสเซ็นเจอร์เอง และสกู๊ตตาร์ได้ด้วย พร้อมส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี โดยจะนำมาซึ่งการเติบโตบนตลาดแมสเซ็นเจอร์ได้ในระยะยาว

5. เพื่อสร้างความไว้วางใจในแบรนด์สกู๊ตตาร์

สกู๊ตตาร์ ใส่ใจในรายละเอียด และมอบความจริงใจให้กับลูกค้า เพราะไม่ว่าจะเเมสเซ็นเจอร์รายเดือน รายครั้ง หรือรายวัน ทุกการบริการจะต้องทำให้ลูกค้าประทับใจได้เสมอ และให้เกิดการบอกต่อเรื่อยๆ

                การตรวจสอบประวัติ* และอบรมให้กับแมสเซ็นเจอร์ของเรา เป็นสิ่งที่สกู๊ตตาร์ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะส่งผลดีกับทุกฝ่าย ทั้งในแง่ความปลอดภัยของลูกค้า และคุณภาพบริการของแมสเซ็นเจอร์ ให้ลูกค้าวางใจได้เมื่อเลือกใช้บริการของสกู๊ตตาร์ แมสเซ็นเจอร์มือโปร

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด *ภาพในบทความนี้เป็นภาพเพื่อประกอบการโฆษณาเท่านั้น

SKOOTAR – บริการ “ส่งพัสดุ” และ “ส่งสินค้า” มืออาชีพเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจ

หากคุณกำลังมองหาผู้ให้บริการ “ส่งพัสดุ” หรือ “ส่งสินค้า” ที่น่าเชื่อถือ เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของคุณ SKOOTAR พร้อมเป็นคำตอบที่ใช่ ด้วยทีมคนขับมือโปร ที่พร้อม “ส่งพัสดุด่วน” และกระจายสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจคุณได้ทุกวัน

 

SKOOTAR_Express_delivery_content

จุดเด่นของบริการ “ส่งพัสดุ” และ “ส่งสินค้า” จาก SKOOTAR ได้แก่

  • โซลูชันเฉพาะสำหรับลูกค้าธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการ “ส่งพัสดุ” แบบ “ส่งด่วน” จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุด หรือการ “ส่งสินค้า” แบบกระจายสินค้าจากคลังไปยังหลายจุดหมาย เรารองรับความต้องการของคุณได้ทั้งหมด
  • ระบบติดตาม “การส่งสินค้า” แบบ real-time พร้อมยืนยันการจัดส่งด้วยภาพถ่าย และประกันความเสียหายของสินค้า* เพื่อสร้างความมั่นใจให้คุณ
  • เชื่อมต่อ API เข้ากับระบบหลังบ้านของบริษัทคุณได้ ทำให้สะดวกในการสั่งงาน “ส่งพัสดุ”

SKOOTAR ยังโดดเด่นด้วยข้อดีมากมายที่ช่วยให้การ “ส่งสินค้า” ของคุณสะดวกยิ่งขึ้น เช่น

  • หลากหลายช่องทางชำระเงิน ทั้งเงินสด บัตรเครดิต โอนผ่าน wallet และวางบิลสิ้นเดือน
  • มีรถหลายประเภทให้เลือกใช้ตามลักษณะ “การส่งพัสดุ” ตั้งแต่มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ รถกระบะ ไปจนถึงรถกระบะตู้ทึบ จองผ่านเว็บไซต์หรือแอปได้ทั้ง iOS และ Android
  • ทีมคนขับมืออาชีพที่ผ่านการตรวจประวัติ* และฝึกอบรมก่อนรับงาน รวมถึงฝ่ายบริการลูกค้าที่พร้อมให้บริการทุกวันไม่มีวันหยุด คอยอำนวยความสะดวกในการ “ส่งสินค้า” ให้คุณอย่างดีที่สุด
  • มีประกันความเสียหายในระหว่างการขนส่ง*
ส่งสินค้า ส่งพัสดุด่วน ด้วยสกู๊ตตาร์

นอกจากนี้ เรายังออกแบบบริการมาเพื่อตอบโจทย์ “การส่งพัสดุ” ในรูปแบบองค์กร ด้วยฟีเจอร์ที่น่าสนใจ ดังนี้

  • ระบบ multi-user account ให้หลายคนในบริษัทสามารถสั่งงาน “ส่งพัสดุ” ได้ แต่ยังรวมใบแจ้งหนี้เป็นใบเดียว
  • เทคโนโลยีจัดเรียงเส้นทางเพื่อการ “ส่งสินค้า” ที่รวดเร็ว ประหยัด และมีประสิทธิภาพ
  • บริการเสริมต่างๆ เช่น เก็บเงินปลายทาง ส่งคืนเอกสาร บริการช่วยยกของ* ฯลฯ

จะเห็นได้ว่า SKOOTAR มีบริการที่ครอบคลุมการ ‘ส่งพัสดุ’ และ ‘ส่งสินค้า’ แทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเปราะบาง เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สำนักงาน ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ เราพร้อมเป็นผู้ช่วยขนส่งให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมั่นใจ

คุณสามารถใช้งานขนส่งด้วยสกู๊ตตาร์ ได้ผ่านทางเว็บไซต์
หรือใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน ได้ทั้งระบบ iOS และ Android 
สมัครใช้งานได้ที่ https://www.skootar.com/th/signup 
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
– ค่าขนส่งจะเพิ่มขึ้นจากราคาเริ่มต้นตามระยะทาง และหากลูกค้ามีการใช้งานบริการเสริม สามารถเช็กราคา-ก่อนใช้งานจริงได้ในเว็บไซต์ และแอปพลิเคชัน
– บริการเสริม มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน
– สกู๊ตตาร์ให้บริการเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น
– ภาพในบทความใช้เพื่อประกอบการโฆษณาเท่านั้น
– เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

วางแผนภาษีอย่างไรให้ธุรกิจเติบโตในยุคดิจิทัล

วางแผนภาษีอย่างไรให้ธุรกิจเติบโตในยุคดิจิทัล
  • วางแผนภาษีเป็นเรื่องสำคัญที่กิจการมีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเงินของกิจการ หากกิจการมีการวางแผนภาษีที่ผิดพลาด จะส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาโดยไม่จำเป็น นอกจากนั้นอาจทำให้เกิดปัญหาที่มีผลทางกฎหมายตามมาด้วย

  • วางแผนภาษีเป็นการเตรียมการเพื่อเสียภาษีอย่างถูกต้อง ตลอดจนใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ อย่างคุ้มค่า เพื่อบรรเทาภาระภาษีให้น้อยลง ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการเสียภาษีไม่ถูกต้องได้

การวางแผนภาษีเป็นเรื่องสำคัญที่กิจการต้องให้ความสำคัญ เพราะหากหลงลืม ละเลย หรือไม่ปฏิบัติอย่างถูกต้องมาตั้งแต่แรก อาจก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง การจ่ายเบี้ยปรับเงินเพิ่มต่างๆ ซึ่งรวมกันแล้ว อาจจะมากกว่าจำนวนภาษีที่ต้องจ่ายเสียอีก ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ผู้ประกอบการจึงควรวางแผนภาษีเป็นอย่างดี

วางแผนภาษีคืออะไร?

การวางแผนภาษี คือ การวางแผนเพื่อดำเนินการเสียภาษีอย่างถูกต้อง ตลอดจนใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ อย่างคุ้มค่า เพื่อบรรเทาภาระภาษีให้น้อยลง สามารถชำระภาษีได้ตรงตามกำหนด และประหยัดค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเสียภาษีไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม หรือค่าปรับทางกฎหมายต่างๆ

วางแผนภาษีมีความสำคัญอย่างไรต่อธุรกิจ

การวางแผนภาษีที่มีประสิทธิภาพจะส่งผลดีต่อธุรกิจหลายประการด้วยกัน ดังนี้

  1. ช่วยให้การเสียภาษีของธุรกิจเป็นไปอย่างถูกต้องและครบถ้วน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามกฎหมายภาษีอากร
  2. ช่วยให้กิจการประหยัดภาษีด้วยการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากมาตรการลดหย่อนภาษีจากทางภาครัฐ เช่น มาตรการส่งเสริมการลงทุนด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในช่วงระยะเวลาที่กำหนด สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของ Covid-19 หรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุหรือผู้พิการ เป็นต้น
  3. ช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากร หากกิจการมีการวางแผนภาษีที่ดี จะช่วยให้การเสียภาษีต่างๆ เป็นไปอย่างถูกต้อง ช่วยลดความเสี่ยงในการเรียกตรวจสอบภายหลัง และช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการเสียเบี้ยปรับเงินเพิ่มที่อาจเกิดขึ้นได้
  4. การวางแผนภาษีช่วยทำให้ระบบเอกสารทางบัญชีและภาษีมีความเป็นมาตรฐาน เป็นไปตามกฎหมายกำหนด
  5. ช่วยส่งเสริมระบบการควบคุมภายในของกิจการให้มีประสิทธิภาพ ในการวางแผนภาษีมีขั้นตอนสำคัญก็คือการศึกษาแนวปฏิบัติของธุรกิจ ทำให้เห็นปัญหาของระบบการทำงาน จุดเสี่ยง สิ่งที่ควรปรับปรุงไปพร้อมๆ กัน ซึ่งในจุดนี้สามารถนำไปปรับปรุง พัฒนาให้ระบบการควบคุมภายในของกิจการมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

วางแผนภาษีกับขั้นตอนสำคัญที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้อง

ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่าในการวางแผนภาษีนั้นต้องมีการวางศึกษารายละเอียดต่างๆ อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของธุรกิจ หรือประเภทของภาษีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทั้งหมดสามารถนำมาสรุปเป็นขั้นตอน การวางแผนภาษีได้ดังนี้

1. การเตรียมการก่อนการวางแผนภาษีอากร

1.1 การศึกษาทำความเข้าใจธุรกิจ ได้แก่

เป็นการศึกษาทำความเข้าใจธุรกิจในแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของธุรกิจ นโยบายทางการงเิน การ วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อนของกิจการ งบการเงิน ตลอดจนสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดนี้จะช่วยให้สามารถเข้าใจธุรกิจก่อนที่จะมีการเริ่มต้นวางแผนภาษีได้เป็นอย่างดี

1.2 เตรียมความพร้อมเรื่องภาษีอากร

หลังจากที่ศึกษารายละเอียดอย่างชัดเจนแล้วว่ากิจการลักษณะธุรกิจเป็นอย่างไร และมีภาษีใดที่เรา    ต้องดำเนินการให้ถูกต้อง ก็ต้องวางแผนที่จะเสียภาษีต่างๆ เหล่านั้นให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายในการจ่ายภาษี หรือสิทธิ์ลดหย่อนภาษีที่สามารถนำมาใช้ได้ ต้องมีการเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน

1.3 ระบุปัญหาทางภาษีอากรของกิจการ

ปัญหาภาษีอากรของกิจการได้แก่

ก. ปัญหาความผิดพลาดในการคำนวณภาษีอากร การยื่นแบบแสดงรายการล่าช้าหรือไม่ได้ยื่นแบบ หลักฐานเอกสารทางภาษีไม่ถูกต้องเพียงพอ เป็นต้น

ข. ปัญหาความแตกต่างของหลักเกณฑ์ที่กิจการใช้ในการบันทึกบัญชีกับหลักเกณฑ์ทางภาษี

1.4. การกำหนดบุคลากรในการวางแผนภาษีอากร

บุคลากรที่เกี่ยวข้องในการวางแผนภาษีอากร ได้แก่ ผู้ประกอบการหรือผู้บริหาร ฝ่ายบัญชีและการเงิน  ฝ่ายกฎหมาย ผู้เชี่ยวชาญ ที่ปรึกษาภาษีอากร หน่วยงานอื่นในองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น ฝ่ายขาย ฝ่ายบุคคล เป็นต้น โดยบุคลากรที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ควรประกอบด้วยผู้ที่เข้าใจประเด็นทางภาษีของกิจการและทราบถึงสาเหตุของปัญหาทางภาษี มีความรู้ความเข้าใจระบบภาษีขององค์กร ผู้ที่สามารถให้ข้อมูลเพื่อใช้ในการวางแผนภาษีได้เป็นอย่างดี เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและลดปัญหาภาระภาษีที่จะ เกิดขึ้นในอนาคต

2. การกำหนดขั้นตอนการวางแผนภาษีอากร

หลังจากที่กิจการมีเตรียมการในการวางแผนภาษีอากรแล้ว กิจการจะต้องกำหนดขั้นตอนการวางแผนภาษีอากรดังต่อไปนี้

2.1 กำหนดประเด็นภาษีอากรที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ

ประเด็นภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ได้แก่

ก. ประเด็นภาษีอากรทางด้านรายได้ รายได้ที่กิจการได้รับต้องเสียภาษีประเภทใด มีปัญหาที่เกี่ยวข้องอย่างไร

ข. ประเด็นภาษีอากรทางด้านรายจ่าย รายจ่ายของกิจการเกี่ยวข้องกับภาษีประเภทใด มีปัญหาที่เกี่ยวข้องอย่างไร

ค.ประเด็นทางด้านสินทรัพย์และหนี้สิน สินทรัพย์และหนี้สินของกิจการเกี่ยวข้องกับภาษีประเภทใด มีปัญหาที่เกี่ยวข้องอย่างไร

2.2 วิเคราะห์สาเหตุและที่มาของปัญหาทางด้านภาษีอากร 

ปัญหาทางด้านภาษีอากร ได้แก่

ก. นโยบายทางภาษีของกิจการไม่ถูกต้อง ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด

ข. เจ้าของกิจการหรือผู้บริหารไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องภาษีอากร

ค. ผู้ประกอบการขาดการควบคุมให้มีการเสียภาษีที่ถูกต้อง 

ง. กิจการขาดการวางแผนภาษีอากรที่ดี

จ. เจ้าหน้าที่ที่ดูแลรับผิดชอบงานทางด้านภาษีขององค์กรไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีอย่างเพียงพอ 

ฉ. การจัดทำบัญชี เอกสารทางบัญชีและภาษี ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด

ช. ลักษณะของธุรกิจ สัญญาของธุรกิจ ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ทางภาษีอากร

2.3 กำหนดเป้าหมายในการแก้ปัญหา

เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ในการวางแผนภาษีเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ของกิจการ เพื่อความถูกต้อง ครบถ้วน และลดค่าใช้จ่ายทางภาษี

2.4 การกำหนดขั้นตอนการแก้ไขปัญหาภาษีอากร

ประกอบด้วย

ก. การจัดประชุมชี้แจงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับเหตุผลในการวางแผนภาษี ปัญหาและสาเหตุของปัญหาภาษีอากร วัตถุประสงค์ของการวางแผน

ข. การจัดให้มีการระดมสมองเพื่อร่วมกันพิจารณาปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา ทำการศึกษาหลักเกณฑ์และกฎหมายสรรพากรที่เกี่ยวข้องกับประเด็นภาษีและร่วมกำหนดแนวทางการแก้ไขที่เป็นรูปธรรม

2.5. การกำหนดแผนการปฏิบัติการ (Action Plan) ในการแก้ไขปัญหาภาษีอากร 

แผนปฏิบัติการ (Action Plan) หมายถึง แผนงานที่กำหนดการปฏิบัติงาน กำหนดขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้เกี่ยวข้อง มีการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติงานไปในทิศทางเดียวกัน

3. การนำแผนภาษีอากรไปใช้ปฏิบัติจริง

ประกอบด้วย

3.1. ผู้ประกอบการกำหนดนโยบายบัญชีและภาษีที่เหมาะสมเป็นไปตามมาตรฐานทางบัญชีและถูกต้องตามกฎหมายภาษีอากร

3.2. ผู้ประกอบการหรือผู้บริหารมอบหมายงานให้แก่ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ฝ่ายบัญชี ฝ่ายบุคคล ฝ่ายกฎหมาย เป็นต้น นำไปปฏิบัติงานตามแผน

3.3. ผู้เกี่ยวข้องที่รับมอบหมายงาน ทำความเข้าใจแนวปฏิบัติที่ได้รับมอบหมาย จากนั้นจึงจัดทำแผนการปฏิบัติงาน มีการทดลองปฏิบัติงานตามแผน มีการติดตามผล หลังจากมีการนำมาใช้ปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผนทั้งระบบ และมีการรายงานผลการปฏิบัติงานให้ผู้ประกอบการหรือผู้บริหารทราบ

3.4. เจ้าของธุรกิจและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องควรศึกษากฎหมายสรรพากรหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

4. การติดตามประเมินผล

ประกอบด้วย
4.1. การประเมินผลโดยรวม

เป็นการพิจารณาว่ามีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ มีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน

4.2. การประเมินผลปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามแผน H4

เป็นการพิจารณาว่าบุคลากรมีความเข้าใจหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติงาน มีการยอมรับการเปลี่ยนแปลงและให้ความร่วมมืออย่างไร

4.3. การประเมินผลการปฏิบัติ

เป็นการพิจารณาว่าจำนวนเงินที่เสียภาษีอากรถูกต้อง ไม่มีค่าใช้จ่ายเบี้ยปรับ เงินเพิ่มทางภาษี มีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ระบบการควบคุมภายในขององค์กรดีขึ้น

4.4. การประเมินความรู้ ความสามารถของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติตามแผน

เป็นการประเมินผลทางด้านความรู้ ความเข้าใจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง มีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน

การวางแผนภาษีเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่จะช่วยกิจการลดต้นทุน ป้องกันภาระทางภาษีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และบริหารจัดการการเงินได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ ดังนั้นผู้ประกอบการจึงไม่ควรละเลยที่จะวางแผนภาษีตั้งแต่เริ่มต้นกิจการ

            PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่จะเป็นพร้อมสนับสนุนธุรกิจให้จัดการบริหารจัดการบัญชีและภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการจัดการเอกสารสำคัญทางธุรกิจ เช่น ใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี ใบหักภาษี ณ ที่จ่าย ตลอดจนข้อมูลเอกสาร รายงานภาษี ทั้งรายงานภาษีขาย รายงานภาษีซื้อ (สำหรับจัดทำ ภ.พ.30) รายงานภาษีหัก ณ ที่จ่าย (สำหรับจัดทำ ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53) ที่ต้องนำส่งกรมสรรพากร ถูกต้อง รวดเร็ว แม่นยำ

ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท
คลิก https://bit.ly/PEAK-Skootar (ไม่มีค่าใช้จ่าย)
.
PEAK Call Center : 1485
LINE : @peakaccount
สอบถามเพิ่มเติม คลิก https://m.me/peakengine